ข่าวประชาสัมพันธ์

@สวัสดีมิตรรักแฟนกาแฟคนข่าวต้องขออภัยที่เงียบหายไป...แต่นับจากนี้จะเคลื่อนไหวมากขึ้นครับ..@@แนะนำ"มือชงคนใหม่"น้องมาม่า"มาประจำการ"สภากาแฟคนข่าว"แทน"น้องนุ่น"..ทุนท่านสามารถติชมการบริการทั้งการชงรสชาด การบริการของพนักงานของเราได้ ผ่านทางอีเมล์Khunlungcoffee@gmail.com หรือในหน้าเพสเฟสบุ๊ค Khunlung Coffee เพื่อเราจะนำไปปรับปรุงต่อไปครับ..

วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

'รงค์ วงษ์สวรรค์ พญาอินทรีบินเหนือดอยสูง

ภาพที่คุ้นตาหลังแป้นพิมพ์ดีดของ"รงค์"

บางเรื่องเล่าในเงาเวลาของ ’รงค์ วงษ์สวรรค์


Tue, 31/03/2009 - 13:15

เรื่อง: ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา


“ใครที่ปฏิบัติตามคําสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้วก็ตายไม่มีห่วงได้ทุกขณะ


ไม่ว่าจะเป็นเดี๋ยวนี้ หรืออีกห้านาที หรืออีกหกเดือน หรือสามสิบปีต่อไป”


- หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช -

จาก สยามรัฐหน้า 5 ฉบับจัดพิมพ์โดย ’รงค์ วงษ์สวรรค์


เมื่อทราบข่าวว่าคุณ ’รงค์ วงษ์สวรรค์ เสียชีวิต ความรู้สึกแรกที่เกิดขึ้นก็คือ ใจหาย ใจมันหวิวๆ เหมือนอะไรขาดหายไปบางอย่าง นี่กระมังที่ทําให้เขาเรียกกันว่า ใจหาย คือใจมันเหมือนจะหายไปชั่วขณะ

แม้จะรู้ว่าคุณ ’รงค์ไม่กลัวความตาย แต่ที่ใจหาย เพราะเรา—หมายถึงคุณวรพจน์ พันธุ์พงศ์ คุณธวัชชัย พัฒนาภรณ์ และผม—เพิ่งจะคุยกันเมื่อสองสามวันก่อนว่าจะขอให้คุณ ’รงค์ช่วยตั้งชื่อนิทรรศการภาพถ่ายของคุณ ’รงค์เอง ที่จะจัดขึ้นที่ PS (People Space) แพร่งภูธร ในช่วงเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้ คุณ ’รงค์เคยเขียนหนังสือชื่อ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ในเงาเวลาของ ’รงค์ วงษ์สวรรค์ ผมชอบชื่อ “ในเงาเวลาของ ’รงค์ วงษ์สวรรค์” มันให้ความหมายเข้ากับภาพถ่ายขาว-ดําดีนัก แต่ก็อยากจะปรึกษากับคุณ ’รงค์ก่อน เพราะว่ากันในทางเชิงชั้นทางภาษา คุณ ’รงค์คงทิ้งพวกเราไปหลายขุม

หลายเดือนก่อน คุณ ’รงค์ส่งข่าวมาว่า ค้นพบฟิล์มขาว-ดําเก่าเก็บตั้งแต่สมัยทํางานอยู่ เฟื่องนคร อยากให้ช่วยจัดการนําออกเผยแพร่ ให้พอดีที่วรพจน์กําลังทําสัมภาษณ์คุณ ’รงค์เพื่อรวมเล่มในวาระครบ 77 ปีอยู่ ธวัชชัยหรือเต้ ซึ่งเป็นช่างภาพขาว-ดําสําหรับหนังสือเล่มนั้น จึงช่วยเป็นธุระจัดการเรื่องฟิล์มให้ทั้งหมด ทั้งปรับปรุงสภาพ ทําความสะอาด และอัดภาพลงกระดาษด้วยเครื่องออกมาให้ดูเป็นตัวอย่าง ก่อนจะอัดมือเมื่อแสดงจริง

แม้จะเป็นเวลาหลายสิบปี แต่ภาพจากฟิล์มสี่ห้าม้วนชุดนั้นยังคงชัดเจน มีทั้งภาพวิถีชีวิตกรุงเทพฯ ในช่วงสะพานพระพุทธยอดฟ้าฯ ปิดซ่อม เห็นผู้คนแต่งตัวสวยงามราวกับอยู่ในฉากภาพยนตร์ มีภาพสํานักงานนิตยสาร เฟื่องนคร และนักเขียนร่วมสมัย(นั้น)หลายคน

สมัย เฟื่องนคร คุณ ’รงค์ผลิตนิตยสารรายเดือนเปลี่ยนหัวไปตามชื่อเดือนเพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมายเผด็จการที่เคร่งครัดกับการอนุมัติหัวหนังสือใหม่ นอกจากนี้ รูปที่อัดมายังมีภาพ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ในหลายอิริยาบถบนยอดดอยขุนตาน รวมทั้งมีภาพของคุณ ’รงค์เองที่น่าจะถูกถ่ายจากคนใกล้ชิด เพราะมาจากฟิล์มม้วนเดียวกัน บางรูปคุณ ’รงค์เคยเล่าว่าเป็นฝีมือของคุณชายคึกฤทธิ์เองด้วยซ้ำ

ภาพทั้งหมดนี้ ถ้าได้รับการอัดอย่างประณีต ใส่กรอบ และจัดแสดงอย่างเหมาะสม แน่นอน ย่อมก่อ ให้เกิดความเจริญตาเจริญใจแก่ผู้พบเห็น ปราบดา หยุ่น บอกกับผมหลังเห็นภาพว่า บางภาพน่าจะนําไปทําปกหนังสือเลยด้วยซ้ำ

สําหรับนักอ่านรุ่นใหม่ที่ไม่เคยได้ศึกษาประวัติคุณ ’รงค์มาก่อน อาจจะแปลกใจว่า ทําไมนักเขียนชราคนหนึ่งถึงถ่ายรูปได้ดีนัก หากแต่ผู้สันทัดกรณีในชีวิตของ ’รงค์ วงษ์สวรรค์ คงจะตอบได้ทันทีว่า ก็คุณ ’รงค์ในวัยหนุ่มนั้น เริ่มต้นอาชีพนักเขียนด้วยการถ่ายภาพ ตรวจพิสูจน์อักษรอยู่ที่ สยามรัฐ ก่อนจะก้าวขึ้นมาเป็นนักเขียนในลีลาภาษาสวิงซึ่งทิ้งร่องรอยไว้มากมายในวงการวรรณกรรมไทย จนกลายเป็นแรงบันดาลใจให้นักเขียนรุ่นหลังหลายคนได้เดินตาม แม้จะไม่เคยมีใครวัดรอยเท้าได้พอดี ด้วยรองเท้าของ ’รงค์ นั้นใหญ่เกินกว่าใครจะใส่ได้ฟิต-นี่ว่ากันตามสํานวนฝรั่ง

วรพจน์ตั้งใจจะขึ้นไปพบคุณ ’รงค์ช่วงปลายเดือนมีนาคมนี้ เต้ก็กะจะหอบรูปทั้งหมดไปให้คุณ ’รงค์ เซ็นชื่อ ผมฝากเต้ถามรายละเอียดว่าใครเป็นใครในภาพ เพราะเชื่อว่าคุณ ’รงค์คงจําได้หมด ด้วยโรคภัยทั้งหลายที่คุกคามคุณ ’รงค์มาโดยตลอดช่วงหลายปีหลังนั้น จะคุกคามก็แต่เฉพาะกําลังวังชาของคุณ ’รงค์เท่านั้น แต่ โรคภัยหาได้เคยกล้ำกรายความทรงจําและกําลังใจของ ’รงค์ วงษ์สวรรค์ ไม่ คุณ ’รงค์ยังคงจดจําทุกเรื่องราวได้อย่างแจ่มชัด จะว่าไปก็ไม่ต่างจากภาพถ่ายขาว-ดําของคุณ ’รงค์ ที่เมื่อหยิบมาอัดใหม่ ก็ยังให้ความคมชัด เหมือนเรื่องราวทั้งหมดเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันวาน

ผมพบคุณ ’รงค์ครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน เมื่อตอนที่คุณ ’รงค์หยุดพักงานเขียนที่ทํามาตลอดชีวิต เพราะถูกโรคไตคุกคาม ตอนนั้นปราบดาและผมมีดําริที่จะทํานิตยสารเกี่ยวกับงานเขียนร่วมสมัย ใช้ชื่อว่า open house แนวคิดส่วนหนึ่งมาจากสมัยคุณ ’รงค์ทํา เฟื่องนคร คือชวนเพื่อนฝูงรุ่นราวคราวเดียวกันมาช่วยกันเขียน ค่าต้นฉบับที่ได้ก็จัดสรรแบ่งกันตามสัดส่วน คิดได้ดังนั้นแล้ว เราทั้งคู่จึงเห็นสมควรว่า น่าจะเชิญคุณ ’รงค์มาร่วมวงด้วย การติดต่อสื่อสารระหว่างพวกเราและคุณ ’รงค์ จึงเริ่มต้นขึ้น นํามาสู่การเดินทางด้วยรถไฟของชาวคณะ open ขึ้นไปเยี่ยมเยียนสวนทูนอินหลายครั้ง จนบางคน ไปสวนทูนอินมากกว่ากลับบ้านต่างจังหวัดเสียอีก

ผมเองอ่านงานเขียนของคุณ ’รงค์มาตั้งแต่อยู่มหาวิทยาลัย ปิดเทอมใหญ่เพื่อนร่วมห้องพักของผมไปฝึกงานที่บริษัทหลักทรัพย์เป็นหลักเป็นฐาน ผมกลับอยู่ห้อง นอนอ่าน สนิมสร้อย ไปตลอดบ่ายจรดค่ำ เมื่อเริ่มต้นชีวิตนักข่าว
เพื่อนหนุ่มสาวชวนไปเที่ยวเกาะช้างในยุคที่ยังไม่มีโรงแรมห้าดาวผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด เพื่อนเล่นน้ำทะเล ผมนอนเอกเขนกอ่าน หลงกลิ่นกัญชา, ใต้ถุนป่าคอนกรีต จนเพื่อนบางคนงอนไปหลายรอบ เพราะมาทะเลทั้งทีแต่ไม่ยอมออกไปไหน

งานของคุณ ’รงค์ทําให้คนหนุ่มอยากใช้ชีวิต อยากออกไปท่องโลกเก็บเกี่ยวประสบการณ์เอามาบอกเล่า เมื่อคุณ ’รงค์เขียนเรื่องกับข้าวกับปลาก็พลอยทําให้เราอยากอาหารไปด้วย ตอนเด็กผมไม่ชอบกินผัก แต่ผมกลายเป็นคนชอบกินผักเพราะอ่านเรื่องของคุณ ’รงค์ ผักของ ’รงค์ วงษ์สวรรค์ มีชีวิต น่ารับประทาน เช่นเดียวกับปลา ที่คุณ ’รงค์เคยบอกว่า กลิ่นคาวคือความเอร็ดของมัน

<><><><>
<>
<><><><>
พิมพ์ดีดที่พิมพ์จนพังแต่ก็ยังเก็บไว้ของ"รงค์"
การมีโอกาสได้พบกับ ’รงค์ วงษ์สวรรค์ จึงทําให้ผมอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ ยิ่งได้พบตัวจริงๆ ในบรรยากาศแวดล้อมแบบของคุณ ’รงค์ด้วยแล้ว ก็ยิ่งเกร็งไปกันใหญ่ เพราะแม้จะนั่งคุยกับแขกจากโต๊ะทํางาน แต่วาระการสนทนาที่คุณ ’รงค์เป็นคนกําหนด เสียงทุ้มทรงพลังของคุณ ’รงค์ และอํานาจเร้นลับที่แฝงมากับน้ำเสียงนั้น ผมคิดว่าไม่ว่าใครที่ไปหาคุณ ’รงค์ครั้งแรก ก็คงได้รับความรู้สึกใกล้เคียงกัน

ถ้าไม่ใช่ศิลปะการจัดวางชั้นเยี่ยม ก็น่าจะพอเรียกได้ว่า ทั้งหมดนี้คือ charisma ของ ’รงค์ วงษ์สวรรค์ โดยแท้ เป็นคาริสม่า—บารมี—ที่นักการเมืองควรมี แต่หลายคนกลับไม่มี นายกรัฐมนตรีบางคนที่ผมเคยพบ ยังไม่มีบารมีเท่ากับคุณ ’รงค์ นอกจากบารมีแล้ว คุณ ’รงค์ยังมีพิธีการทูตในการต้อนรับแขกอย่างเพียบพร้อม ไม่ตกหล่น อาหารการกินสมบูรณ์ตามสูตรของมัน สุรา ทุกชนิดมีให้เลือก ทั้งบรั่นดี วิสกี้ เหล้าบ๊วย ไวน์แดง ไวน์ขาว เหล้าขาดมือ คุณ ’รงค์หันไปดุเด็กสาวเบาๆ ว่า “ทําไมไม่รินเหล้าให้พี่เขา” ตามธรรมเนียมคนตะวันออกที่ผู้อาวุโสกว่าย่อมได้รับการปรนนิบัติ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงสุรา) จากผู้ที่มาทีหลัง แม้รุ่นพวกเราจะไม่ถือสาใส่ใจกับธรรมเนียมเหล่านี้เท่าใดนัก แต่ก็พอเข้าใจได้ ถึงความคิดที่อยู่เบื้องหลังพิธีกรรมทั้งปวง

นอกจากอากาศเย็นสบายบนดอย ดอกไม้สีสวยหลายชนิดที่คุณ ’รงค์บรรจงปลูกไว้รอบบ้านแล้ว ความน่ารักอีกอย่างหนึ่งของสวนทูนอินก็คือ ในห้องทํางานของคุณ ’รงค์จะมีเสียงเพลงแจ๊ซจากนักร้องหญิงผิวดําคอยขับขานอยู่เสมอ

ความไพเราะแผ่วกังวานของเสียงเพลงทําให้ควันบุหรี่ที่อ้อยอิ่งอยู่รอบห้องกลายเป็นเหมือนหมอก ยิ่งเมื่อเดินออกมาริมระเบียงเคียงสระน้ำ แล้วได้กลิ่นหอมของจัสมินหรือมะลิแบบฝรั่งที่ปลูกไว้ด้วยแล้ว ราตรีนั้นช่างแสนสําราญนัก

ยิ่งสนทนากันนาน ความน่าเกรงขามของคุณ ’รงค์จะค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความเมตตา เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของวงการวรรณกรรมที่คนรุ่นหลังไม่เคยรู้ พรั่งพรูจากเงาเวลาของ ’รงค์ วงษ์สวรรค์ ทั้งวิธีการเขียนงานของยาขอบ ประสบการณ์การทํางานร่วมกับอาจารย์คึกฤทธิ์ กระทั่งเรื่องส่วนตัวที่ทําให้ชีวิตเด็กนักเรียนมัธยมปลายโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ต้องถูกไล่ออกมาเดินเตะฝุ่นอยู่บนถนนพญาไท จนแทบจะกลายเป็นคนไร้อนาคต ถ้าไม่หันมาเอาดีในวิชาชีพนักข่าว

คุณ ’รงค์เล่าว่า ครูที่เคยมีเรื่องกันครั้งนั้น เมื่อพบกันอีกครั้ง ต่างคนต่างให้อภัยกันไปหมดแล้ว แถมยังบอกว่า เป็นความผิดของตัวเองที่เลือดร้อนไปหน่อยสมัยเป็นวัยรุ่น เราสนทนากับคุณ ’รงค์ยาวนานข้ามคืน ประมาณว่าจากสองทุ่มถึงตีสอง เป็นรายการถามตอบที่สนุกที่สุดรายการหนึ่งในรอบหลายปี—ทุกคนที่ร่วมเดินทางไปสวนทูนอินครั้งนั้นยืนยันได้

ผมและเพื่อนฝูงกลับไปเยือนสวนทูนอินอีกหลายต่อหลายครั้งหลังจากนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปลายปีที่อากาศเมืองเหนือเย็นสบาย คุณ ’รงค์บอกว่าหน้าหนาวก็ดี แต่หน้าร้อนเมืองไทยก็สวยมาก เพราะดอกไม้สองข้างทางจะบานตลอดในฤดูร้อน คําพูดของคุณ ’รงค์ทําให้ผมเริ่มมองฤดูร้อนในแง่ดี และเริ่มมองเห็นสีสันของดอกไม้ตามท้องถนน หลังจากที่ไม่ค่อยได้ใส่ใจมากนัก รายละเอียดในชีวิตเหล่านี้ที่ทําให้งานเขียนของคุณ ’รงค์มีเสน่ห์ คุณ ’รงค์รู้จักดอกไม้ทุกดอก ต้นไม้ทุกต้น เมื่อจะเขียนบรรยายฉากจากหน้าบ้านเข้าไปในบ้าน คุณ ’รงค์เคยล้อนักเขียนสุภาพสตรีบางท่านว่า เขียนเสียตั้งสามสี่หน้า แต่ไม่รู้จักต้นไม้สักต้น ดอกไม้ก็รู้จักอยู่ไม่กี่ดอก

เสน่ห์ในงานเขียนของคุณ ’รงค์จึงรวมเอาความแม่นยําเหล่านี้เอาไว้ด้วย ความแม่นยําที่นอกจากจะมีฐานมาจากการศึกษาเรื่องราวที่จะเขียนมาเป็นอย่างดีแล้ว ยังเกิดจากระบบการจัดเก็บข้อมูลที่ดีมาก ข้อมูลดิบพวกข่าวจากหนังสือพิมพ์ รูปภาพจากนิตยสาร คุณ ’รงค์จะตัดใส่แฟ้มแยกประเภทเก็บไว้เป็นหมวดหมู่ ถ้าไม่ติดที่ย้ายบ้านหลายครั้ง ผมเชื่อว่ารูปเมื่อสามสิบปีก่อนก็คงยังอยู่ครบ

ในห้องทํางานของคุณ ’รงค์จึงมีเครื่องถ่ายเอกสารเล็กๆ อยู่หนึ่งเครื่อง เพื่อทําหน้าที่ผู้ช่วยจัดระเบียบข้อมูลอันหลากหลายลงไปในหน้ากระดาษขนาดเอสี่ ก่อนแฟ้มหลากสีจะเก็บมันไว้ รอวันเจ้าของเรียกใช้ในอนาคตเบื้องหลังนักเขียนที่ยิ่งใหญ่จึงมีวินัยอันเคร่งครัดเป็นเครื่องกํากับ

ใช่แต่กับตัวเอง ต้นฉบับของคุณ ’รงค์ที่ส่งมาสามารถรู้ได้ทันทีว่ามาจากไหน เพราะคุณ ’รงค์จะจ่าหน้าถึงผู้รับด้วยลายมือตนเองอย่างชัดเจน ต้นฉบับเนื้อในของคุณ ’รงค์ยังคงพิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์ดีดที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทํางาน วรรคตอนและการจัดหน้า ยังคงเป็นลีลาของ ’รงค์ วงษ์สวรรค์ ที่พวกเราคุ้นเคย

ด้วยแรงกระตุ้นจากนักเขียนหนุ่มนามปราบดา หยุ่น ’รงค์ วงษ์สวรรค์ กลับมามีกําลังใจในการเขียนงานอีกครั้งในช่วงบั้นปลาย คุณ ’รงค์หยิบกระดาษแผ่นเล็กๆ มาให้ผมดู พร้อมกับบอกว่า เมื่อก่อนใช้กระดาษแผ่นใหญ่ แต่เดี๋ยวนี้กําลังมันถดถอย เพราะต้องฟอกไตทุกสองสามวัน ฟอกไตทีหนึ่งก็หมดแรงไปทั้งวัน ต้องพักฟื้น เขียนหนังสือด้วยกระดาษแผ่นใหญ่มันไม่จบหน้าเสียที เปลี่ยนมาเป็นแผ่นเล็ก จบหน้าเร็วดี มีกําลังใจมากขึ้น

ได้ฟังเรื่องนี้แล้ว ผมซึ่งสุขภาพยังดีอยู่จึงต้องดุด่าตัวเองทุกครั้งที่บิดพลิ้วไม่ยอมเขียนต้นฉบับ ทั้งๆ ที่หน้ากระดาษของเรากําหนดง่ายกว่าด้วยหน้าตาของจอคอมพิวเตอร์ ถ้าอยากจบเร็วจะเปลี่ยนขนาดตัวหนังสือช่วยก็ทําได้ แล้วทําไมนักเขียนรุ่นหลังถึงยังมีข้ออ้างเรื่องการเขียนหนังสืออยู่ นักเขียนอย่าง ’รงค์ วงษ์สวรรค์ คงรําคาญคําแก้ตัวไร้สาระทั้งหลาย

หลังจากสุขภาพอยู่ตัว คุณ ’รงค์ส่งต้นฉบับมาเป็นกระดาษเอสี่เช่นเดิม พวกเราก็เริ่มเบาใจขึ้น และคิดว่าคุณ ’รงค์คงจะอยู่กับพวกเราไปอีกนาน เราจึงเริ่มห่างหายสวนทูนอินไปในช่วงปีหลังๆ

แม้ผมจะเป็นฝ่ายอ่านงานของคุณ ’รงค์มากกว่าจะส่งงานไปให้คุณ ’รงค์อ่าน แต่เมื่อใดที่คุณ ’รงค์อ่านพบงานชิ้นไหนที่เห็นว่าเขียนดี คุณ ’รงค์จะไม่ละเลยที่จะโทรศัพท์มาชมเชย พร้อมซักถามรายละเอียดบางเรื่องที่ไม่รู้ นับเป็นวิธีการให้กําลังใจนักเขียนรุ่นหลังได้เป็นอย่างดี จะมีใครบ้างที่ได้รับโทรศัพท์จาก ’รงค์ วงษ์สวรรค์ แล้วจะไม่ดีใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้ามันเป็นการชมเชยเรื่องงานเขียน

ความที่เคยเป็นบรรณาธิการและคนทําหนังสือมาก่อน คุณ ’รงค์จะให้เกียรติบรรณาธิการมาก ไม่เคยมีการใช้สิทธิของความเป็นนักเขียนใหญ่ กดดันทวงถามสิ่งใดที่จะสร้างความลําบากใจให้กับคนทํางาน เมื่อโทรศัพท์แล้วไม่พบ คุณ ’รงค์จะเพียงแต่ฝากข้อความให้โทรกลับเท่านั้น ยิ่งช่วงหลังคุณ ’รงค์มักจะเอ่ยปากกับผมเป็นการส่วนตัวเสมอๆ ด้วยความห่วงใยว่า “ถ้ามีเรื่องอะไรให้อาว์ช่วย อาว์จะยินดีมาก”

นี่คือความน่ารักของ ’รงค์ วงษ์สวรรค์

คุณ ’รงค์รู้ดีว่าพวกเราทํางานกันด้วยทุนรอนน้อย หลายครั้งที่คุณ ’รงค์ส่งต้นฉบับมาให้ คุณ ’รงค์จะกําชับมาว่า ให้พิมพ์ตามเวลาและจํานวนที่เห็นสมควร

“อย่าให้เจ็บตัว ให้พวกเราพออยู่กันไปได้”

แม้จะมีสังกัดใหญ่ เขียนงานให้กับใครก็ได้ แต่คุณ ’รงค์ก็ยังยินดีที่จะใช้คําว่า “พวกเรา” กับคนทํางานเล็กๆ เช่นพวกเราเสมอ นี่คือความรู้สึกเป็นพวกพ้อง ที่อายุ ฐานะ ชรา กระทั่งมรณะ ไม่เคยแยก ’รงค์ วงษ์สวรรค์ ออกจากวงการนักเขียนไทย ไม่ว่าจะเป็นยุคใดสมัยใด ’รงค์ วงษ์สวรรค์ จึงยังคง (หนุ่ม) เสมอ

เมื่อมีโอกาสสนทนากันครั้งหลังสุดเมื่อเดือนก่อน คุณ ’รงค์แสดงน้ำใจเป็นการส่วนตัวกับผม ด้วยการเอ่ยปากมอบฟิล์มภาพถ่ายขาว-ดําชุดที่กําลังจะจัดแสดงให้ผมเก็บรักษาไว้

“อยากทําอะไรให้รีบทําเสีย อาว์อ่อนแรงเต็มทีแล้ว” ’รงค์ วงษ์สวรรค์ ส่งสัญญาณเตือนเบาๆ โดยที่เครื่องรับอย่างผม แม้จะไม่ประมาท แต่ก็ไม่ทันได้เฉลียวใจ

สําหรับคนทั่วไป สิ่งที่อยู่ในมือผมคงเป็นแค่ฟิล์มเก่าที่ไม่ได้มีราคาค่างวดอะไรมากมายนัก หากสําหรับนักเขียนผู้เริ่มต้นชีวิตด้วยการเป็นช่างภาพแล้ว ผมเข้าใจว่านี่คือการมอบบางส่วนของชีวิตไว้ให้ แม้ไม่บอก แต่ผมก็เข้าใจว่าไม่ใช่เพื่อเก็บไว้ชื่นชมเป็นสมบัติส่วนตัว หากแต่ภาพถ่ายเหล่านี้น่าจะมีส่วนในการยืดระยะเวลา คุณค่า และความงดงาม ที่วงการนักเขียนไทยมีให้กันเสมอมาให้ยาวนานต่อไป

อย่างน้อยก็ในอีกชั่วคนหนึ่ง

หลายปีที่ผ่านมานี้ วงการวรรณกรรมได้ถูกกระแสการแข่งขันที่รุนแรงของธุรกิจหนังสือ ทําให้แปรเปลี่ยนไปในทางแก่งแย่งแข่งขันกันทําการค้ามากกว่าจะเชิดชูมิตรภาพและความงดงามของการมีชีวิต วงการหนังสือถกกันแต่เรื่องยอดขายมากกว่าคุณภาพของงานเขียน นักเขียนขายดีได้รับการยกย่องมากกว่านักเขียนเขียนดี อัจฉริยะกลายเป็นสิ่งที่สร้างได้โดยไม่มีความลับอีกต่อไป โลกยิ่งร้อน อุตสาหกรรมหนังสือยิ่งเหลือที่ทางน้อยเต็มทีให้กับนักเขียน แม้ตัวนักเขียนส่วนหนึ่งจะปรับตัวไม่ทันความเปลี่ยนแปลงแห่งยุคสมัย หากน้ำใจที่ควรมีให้แก่กัน ในฐานะมนุษย์ผู้ผจญทุกข์สุขและประสบการณ์ร่วมกันมา กลับลดน้อยถอยลงจนแทบไม่มีใครใส่ใจให้ค่า

อุตสาหกรรมหนังสือและสิ่งพิมพ์เลิกพูดถึงเรื่องนี้มาหลายปีแล้ว และคงจะเลิกกันจริงๆ จังๆ เมื่อวิกฤตเศรษฐกิจรุนแรงขึ้นจนต่างคนต่างก็ต้องเอาตัวให้รอด จึงไม่ใช่แต่นักเขียนชราเท่านั้นที่อ่อนแรง หากแต่สังคมทั้งหมด พวกเราทุกคนกําลังอ่อนแรงลงโดยไม่รู้ตัว ทั้งอ่อนแรงจากการแข่งขัน อ่อนแรงจากภาระทางเศรษฐกิจ รวมทั้งอ่อนแรงจากการถูกกัดกร่อนจิตวิญญาณมายาวนาน จนไม่อาจรับรู้เรื่องอื่นใด นอกเหนือจากปัญหาเบื้องหน้าของตนเอง

การจากไปของ ’รงค์ วงษ์สวรรค์ จึงเป็นเครื่องเตือนสติว่า วันเวลากําลังพร่าผลาญสิ่งงดงามในชีวิตของเราไปทีละนิด เหมือนสีของรูปขาว-ดําที่เริ่มซีดจางไปในเงาเวลา การจากไปของคุณ ’รงค์จะมีค่าเมื่อเราเริ่มตระหนักถึงความจริงเบื้องหน้า และเริ่มอยากรักษาสิ่งดีๆ เหล่านั้นเอาไว้

อย่างน้อยก็ในเวลาที่คิดถึง ’รงค์ วงษ์สวรรค์

ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา
ค่ำคืนวันที่ 15 มีนาคม 2552

หมายเหตุ: ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร openbooks review ฉบับที่ 1, มีนาคม 2552
//////////////////////////
'รงค์ วงษ์สวรรค์ พญาอินทรีบินเหนือดอยสูง


อุปนิสัยในการทำงานบางด้านของ 'รงค์ วงษ์สวรรค์ เป็นสิ่งที่น่าใคร่ครวญเพื่อการเรียนรู้สำหรับหลายคนที่ปรารถนาจะทำงานเขียนให้เป็นที่ยอมรับของสาธารณชน...

ผมมีความเชื่ออย่างนั้น

จากเมื่อ 30 กว่าปีก่อนที่เขาผละจากร้านกาแฟย่านบางลำพู จากถนนนักเลงวัยรุ่นมาสู่ถนนนักเขียนตัวหนังสือของเขามีอิทธิพลต่อคน หนุ่มในแต่ละช่วงวัย จำนวนมากรุ่นแล้วรุ่นเล่าที่เปลี่ยนหน้ากันเข้ามารับผลสะเทือนทางความคิด จากสำนวนภาษาปรัชญาการดำเนินชีวิต ซึ่งในจำนวนนั้นบางคนก็ก้าวล่วงพ้นมาสู่ความเป็นตัวของตัวเองที่ยืนหยัดได้อย่างสวยงามในเวลาต่อมา แต่บางคนก็ถูกกลืนหายไปในห้วงเวลาที่ผ่านพ้น แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่มี 'รงค์ รงษ์สวรรค์ คนที่ 2 บน ถนนสายนี้

ในความรู้สึกส่วนตน หลังจากผ่านประสบการณ์การอ่านตัวหนังสือของเขามายาวนานผมแบ่งงานเขียนของ 'รงค์ วงษ์สวรรค์ ออกเป็น 4 ช่วงคือ ยุคแรกอันเรียได้ว่า "บนถนนของความเป็นหนุ่ม" หนังสือเล่มแรกของเขาที่แหวกแนวกว่าใครในยุคนั้นชื่อ หนาวผุ้หญิง อันเป็นการรวมงานเบ็ดเตล็ดจากหนังสือพิมพ์สยามรัฐสัปดาวิจารณ์ จัดพิมพ์เป็นหนังสือปกแข็งโดยสำนักพิมพ์ผดุงศึกษา เมื่อปี 2503 และได้รับการพิมพ์ซ้ำอีกครั้งในเวลาที่ผานไปเพียงไม่กี่เดือน

ความสำเร็จของหนังสือเล่มนี้ เนื่องจากความแปลกของสำนวนภาษาที่ช็อคผู้อ่านเพราะไม่เคยมีใครเขียนหนังสือ "สำนวนเพรียวนม" (ไม่ใช่ "เพรียวลม") แบบนี้มาก่อน

'รงค์เล่าว่า อีกส่วนหนึ่งเพราะ "คุณชายคึกฤทธิ์เขียนเชียร์ในคอลัมน์ของเขาในสยามรัฐรายวัน ทำให้ผู้อ่านตื่นเต้นกันมาก"

งานรวมกลุ่มชุดอื่นของเขาที่ตามมา เช่นไฟอาย รวมบทรำพึงรำพัน ใช้นามปากกา 'ลำพู' เขียนคำนำโดยประหยัด ศ.นาคะนาท, รวมเรื่องสั้นชุด ปักเป้ากับจุฬา, รวมงานสารคดี เช่น บนถนนของความเป็นหนุ่ม, เถ้าอารมณ์, เสเพลบอยบันทึก

นวนิยายอันเป็นความพยายามที่จะพิสูจน์ว่า นักเขียนผู้ชายก็เขียนนวนิยายได้น่าอานในขณะที่นักเขียนหญิงครองตลาด คือสนิมกรุงเพทฯ ลงพิมพ์ในเดลิเมล์วันจันทร์ ซึ่งมานิต ศรีสาครเป็นบรรณาธิการ และสันต์ เทวรักษ์เป็นที่ปรึกษา ก่อนพิมพ์รวมเล่มโดยสำนักพิมพ์ก้าวหน้า

มาสเตอร์พีชของเขาที่เกิดขึ้นด้วยค่านิยมใหม่ของช่วงนั้น ตามคำบอกเล่าของเขาที่ว่าเป็นการเกื้อกูลกันระหว่างนักเขียนกับสำนักพิมพ์ คือทำความตกลงกันให้นักเขียนส่งเรื่องมาเป็นตอน ๆ เพื่อพิมพ์เป็นเล่มโดยไม่ต้องผ่านสนามนิตยสาร

เขาเล่าว่า "สนิมสร้อยลงพิมพ์ในสยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ก่อนเพียงไม่กี่บท จากนั้นก็เขียนขายไอ้ชิว (สุพล เตชะธาดา ทายาทแห่งผดุงศึกษา) ต้นฉบับทีละบท เบิกเงินทีละตอนถ้าให้เขียนรวดเดียวก็คงเขียนไม่จบ ตอนเขียนเรื่องนี้ไปนอนซ่องกะหรี่แถวบางกะปิ (ย่านถนนสุขุมวิท) อยู่เป็นเดือน"

งานเขียนนวนิยายแบบแปลบ้างเขียนเองบ้างของเขาอีก 2 เล่มคือ คืนรักกับบางลำภูสแควร์ ก็ทยอยเขียนส่งสำนักพิมพ์แบบเดียวกัน แต่เล่มหลังนี้เขียนให้สำหนักพิมพ์ก้าวหน้าของสุเทพ ชูเชื้อ และอีกเล่มคือ พ่อบ้านหนีเที่ยว ก็เขียนให้สำนักพิมพ์เช่นเดียวกัน

จากปี 2503 ถึง 2506 เขามีหนังสือพิมพ์เป็นเล่มปกแข็งนับได้จำนวน 11 เล่ม แล้วเขาก็นิราศจากเมืองไทยไปอเมริกา ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นกว่าสี่ปีครึ่งจึงบินกลับมา

ในช่วงนั้นแม้จะมีงานของเขาปรากฎอยู่ตามนิตยสารต่าง ๆ ทั้งในนามนี้และนามอื่นอย่างสม่ำเสมอ แต่ก็ไม่มีหนังสือเล่มของเขาพิมพ์ออกมาให้ผู้อ่านได้คลายความคิดถึงกันบ้างเลย

เขากลับมาพร้อมกับพกพาความเป็นบุปผาชนมาด้วยเต็มตัว สำนวนการเขียนก็เปลี่ยนไปจากยุคแรก ลูกเล่นทางภาษาแพรวพราวยิ่งกว่าเดิม ที่พิเศษสุดก็คือ การมีวงเล็บต่อท้ายนามปากกาด้วยคำว่า "หนุ่ม"

เขากลายเป็น 'รงค์ วงษ์สวรรค์ (หนุ่ม) ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

และตำนานของ 'รงค์ วงษ์สวรรค์กับเพื่อนหนุ่มก็เริ่มต้นมาจากช่วงนี้

นอกเหนือจากงานประจำที่สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์แล้ว เขายังมีกิจการของตัวเองที่เขาหุ้นกับสำนักพิมพ์ประพันธสาส์น ทำหนังสือรายเดือนมีนามสุกลชุด เฟื่องนคร ซึ่งออกมาได้ 19 เล่ม จากเดือนพฤษภาคม อุไรของปี 2512 ถึงเดืนอพฤศจิการยน ชารี ก็ฆ่าตัวตายในปี 2513 แต่เพื่อนหนุ่มของเขาจำนวนมากมายเดินขึ้นมาบนถนนหนังสือย่างครึกครื้นหลายคนกลายเป็นพี่ใหญ่ของวงการนักเขียนนักหนังสือพิมพ์ในยุคนี้อาทิ ขรรค์ชัย บุนปาน, สุจิตต์ วงษ์เทศ, เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์, เถกิง พันธุ์เถกิงอมร, ประเสริฐ สว่างเกษม (เสียชีวิตแล้ว), ศรีศักดิ์ นพรัตน์ (เสียชีวิตแล้ว), มนัส สัตยารักษ์, ประภัสสร เสวิกุล ฯลฯ

ในด้านงานเขียน เขาหอบหิ้วต้นฉบับใหม่เอี่ยม นวนิยามขนาดสั้น หอมดอกประดวนมาจากอเมริกา เพื่อมอบให้สำนักพิมพ์โอเลี้ยง 5 แก้วของอาจินต์ ปัญจพรรค์ แต่ด้วยเหตุผลอันขัดต่อธรรมจริยาของสำนักพิมพ์ซึ่งบางคนสัพยอกว่า "ห่มจีวร" ต้นฉบับจึงถูกส่งต่อให้กับสำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์น

ขณะเดียวกัน ด้วยพิมพ์ดีดเครื่องเดิมที่เขียนเรื่องเมืองไทยด้วยความคิดถึงเมื่อตอนอยู่อเมริกา ก็เร่งผลิตสารคดีเชิงนวนิยายประจานชีวิตคนไทยในอเมริกา ในชื่อใต้ถุนป่าคอนกรีท คราวนี้สำนักพิมพ์ของอาจินต์ ปัญจพรรค์จัด
พิมพ์เป็นเล่มพิเศษแบบเปเปอร์แบคต่างกว่าทุกเล่ม ด้วยยอดพิมพ์ชั้นต้น 15,000 เล่ม รับค่าลิขสิทธิ์ครั้งแรก 15,000 บาท ประวัติการใช้เงินจำนวนนี้ของเขาคือ 5,000 บาที่สองเก็บไว้สำหรับเพื่อนฝูงหยิบยืมในยามจำเป็นและอีก 5,000 บาท สำหรับเตร็ดเตร่ดื่มกินเพื่อทำความรู้จักกับกรุงเทพฯ หลังจากที่ห่างเหินไปนาน

ใต้ถุนป่าคอนกรีทขายดีมาก จนอาจินต์ต้องพิมพ์ซ้ำอีก 2 ครั้ง ครั้งละ 3,000 เล่ม ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นยุคเฟื่องสุดขีดของเขา งานเขียนที่พิมพ์ในช่วงนี้ส่วนมากเป็นหนังสือปกอ่อน ทุกเล่มได้รับการต้อนรับอย่างอื้อฉาวจากผู้อ่าน
ไม่ว่าจะเป็น ใต้ถุนป่าคอนกรีท ทั้ง 4 เล่ม 3 ขบวน หรือสารคดีกึ่งนิยายเก็บเกี่ยวจากอเมริกา เช่น หลงกลิ่นกัญชา, อเมริกันตาย, นิราศดิบ, ดอกไม้ดอลล่าร์

และงานรำพึงรำพันในนามของ 'ลำพู' ที่เขียนส่งมาจากแอลเอ. ก็ได้รับการรวมพิมพ์เป็นเล่ม เช่นเสเพลบอยชาวไร่, ผู้มียี่เกในหัวใจ, หัวใจที่มีตีน, ไอแมลงวันที่รัก

ช่วงนี้นเขาเขียนคอลัมพน์ประจำในเดลินิวส์ฉบับวันพุธ ยุคที่สนิท เอกชัยเป็นกัปตันและเขียนเรื่องสั้นในไทยรัฐ ฉบับสารพัดสี-วันอาทิตย์เป็นครั้งคราว มีผลลัพธ์เป็นหนังสือปกอ่อน 2 เล่ม คือ ปีนตลิ่ง และกรุงเทพฯรจนา

อีกสนามที่เขามีความผูกพันฉันท์เพื่อนต่อกันอย่างล้ำลึกและยาวนาน คือสนามฟ้าเมืองไทยของอาจินต์ ซึ่งเขาประเดิมด้วย "ใต้ถุนป่าคอนกรีท ขบวน 2' แล้วสลับด้วยคอลัมน์ '00.00น.' จากนั้นจึงต่อด้วยขบวน 3 และขบวนจบ

ลุล่วงจนถึงปี 2515 เขาผันตัวเองจากอาคาร 6 ถนนราชดำเนิน มาเป็นนักเขียนอิสระอยู่กับบ้านโคนต้นไม้ริมคลอง นนทบุรี ชีวิตการทำงานของเขาช่วงนี้ถูกบันทึกไว้โดยตัวเขาเองใน พูดกับบ้าน, จากโคนต้นไม้ริมคลองถึงป่าอนกรีท ซึ่งเป็นขบวนต่อเนื่องกัน นับตั้งแต่บ้านบางซ่อนเมื่อครั้งเขายังเป็นโสดแต่ไม่สดกระทั่งบ้านริมคลองที่มี "พี่ติ๋ม" มาลี วงษ์สวรรค์ เป็นคู่ชีวิต และมี "บักหำน้อย" วงษ์ดำเริง วงษ์สวรรค์ หนุ่มอายุเก้าขวบในขณะนั้น

เขาก็เช่นเดียวกับนักเขียนอาชีพคนอื่น ๆ ที่ต้องทำงานหนักเพื่อแบกรับภาระของครอบครัว รายได้ของนักเขียนไม่เคยเพียงพอกับความแพงของค่าครองชีพและการลงทุนด้านประสบการณ์เพื่อแปรสภาพเป็นงานเขียน เขาจึงต้องเป็นทั้งนักเขียนนวนิยาย นักหนังสือพิมพ์ และคอลัมนิสต์ในช่วงเวลาเดียวกัน

เขาเขียนนวนิยายอย่าง ผู้ดีน้ำครำ, นักเลงโกเมน, ดลใจภุมริน, นาฑีสุดท้ายทับทิมดง และอีกบางเรื่องลงพิมพ์ต่อเนื่องทุกสัปดาห์ในนิตยสารจักรวาลของพนมเทียน ขณะเดียวกันก็เขียนรายงานเชิงข่าวให้กับสยามรัฐรายวัน

เป็นที่มาของหนังสือเล่ม ตาคลี น้ำตาลไม่มีเสียงร้องไห้, สัตหีบ ยังไม่มีลาก่อน และต่อมาก็เขียนคอลัมน์ประจำในเสียงปวงชน

งานเขียนยุคปัจจุบันของเขา แม้พลังในตัวหนังสือจะไม่อ่อนล้า แต่รูปแบบการเขียนก็เปลี่ยนไป เสมือนย้อนกลับไปสู่การเริ่มต้นอีกครั้งหนึ่ง คือการเขียนคอลัมน์ในรูปแบบของ 'รำพึงรำพัน' กระนั้นความคมคายในการมองปัญหาชีวิตและสังคมก็คมเข้มขึ้นตามวัย เหมือนอย่างที่ลาว คำหอมเคยเอ่ยถึงเข้าไว้ว่า "นักเขียนผู้ได้รับการยอมรับว่าเป็นนักมองชีวิตที่ชื่อสัตย์ต่อสิ่งที่ตนเห็นยิ่งคนหนึ่ง"

คำกล่าวนี้พิสูจน์ได้จากงานรวมเล่มชุด ครูสีดา และขุนนางป่า

งานเขียน 3 ขบวนที่ไม่ใช่ใต้ถุนป่าคอนกรีท หากแต่เป็นจากโคนต้นไม้ริมคลองถึงป่าคอนกรีท ขบวน 1 พูดกับบ้าน ขบวน 2 และขุนนางป่า ขบวนสุดท้าย ทั้ง 3 ขบวนนี้มีบางอย่างเกี่ยวเนื่องกัน และเกี่ยวเนื่องกับความเป็นชีวิตและงานเขียนของ 'รงค์ วงษ์สวรรค์ที่น่าใคร่ครวญ เพื่อการเรียนรู้สำหรับคนที่อยากเป็นนักเขียน ซึ่งส่วนนี้อยู่นอกเหนือจากการอ่านเพื่อสาระและความเพลิดเพลินตามเป้าหมายการทำงานปกติของนักเขียนคนนี้ ซึ่งเขายึดถือเสมอมาว่า "การบำเรอผู้อ่านคือเป้าหมายสูงสุดในการทำงาน"

ต้นเดือนมกราคม 2518 'รงค์ วงษ์สวรรค์เริ่มต้นคอลัมน์ประจำชุดใหม่ของเขาในนิตยสารฟ้าเมืองไทย ชื่อ ''รงค์ วงษ์สวรรค์ 518' ตามตัวเลขเลขท้ายของปี พ.ศ.นั้น ซึ่งเขาบอกว่าต่างจาก ''รงค์ วงษ์สวรรค์ 28' เพราะ "ข้าพเจ้า 28 เป็นการเดินทางจากมดลูกขอแม่ออกมาพบกับโลกด้วยความแข็งโดก ขนความเศร้า เหยียบบนความรื่นเริง และนอนลงบนความร่าน เหน็ดเหนื่อยและพักผ่อน เพื่อจะเดินทางต่อไปบนความสงสัยของชีวิต เพื่อค้นหาคำตอบ ข้าพเจ้าชอบความเป็นหนุ่ม 28 ด้วยความจริงใจ"

และเป็นการค้นหาคำตอบของคำถามที่ว่า งานเขียนหนังสือจะทำให้มีชีวิตอยู่ได้ไหม? หาข้อสรุปจากความจัดเจนในการทำงานเขียนมายาวนานกว่าค่อนชีวิตของเขาว่า "มันเป็นความจริงของนักเขียนในประเทศที่ซึ่งงานทางศิลปะได้รับการประเมินราคาไว้ต่ำ ศิลปินแขนงอื่นก็คงไม่แตกต่างกันนักในอัตราแห่งความระทมขมขื่น ข้าพเจ้าทำงานอย่างจริงจัง แต่สะเพร่ากับชีวิต มันค่อนข้างอันตรายกับอาชีพซึ่งไม่มีหลักประกันความมั่นคง บำเหน็จที่จะได้รับอย่างเดียว คือบางอย่างซึ่งเรียกมันว่า 'ความสุข'"

โดยสถานการณ์ของเวลา การทำงานของเขาเป็นเสมือนไทม์เมชีน ย้อนจากต้นปี 2518 กลับไปสู่อดีตเท่าที่ความทรงจำของเขาจะอำนวยให้ ควบคู่กับเหตุการณ์ปัจจุบันของพ.ศ.นั้น เล่าถึงการก่อสร้างรังนอน เพื่อเป็นหลักแหล่งและความเป็นพ่อนกแห่งครอบครัว ที่บ้านโคนต้นไม้ริมคลอง ละแวกตำบลท่าทราย นนทบุรี ซึ่งตอนนั้นยังเป็นเพียงผืนดินรกร้างเพื่อนหนุ่มหลายคนของเขาซึ่งกลายเป็นผู้มีชื่อเสียงในยุคนี้นัดชุมนุมกันที่นั่น บางคนเป็นนักหนังสือพิมพ์ นักเขียน นักร้อง ศิลปิน

งานชุดนี้ของเขาจึงเป็นทั้งเบื้องหลังงานเขียน และตำราการประพันธ์ฉบับพิสดารที่มีของจริงเป็นตัวเปรียบเทียบ แล้วแต่ว่าใครจะหยิบยกเอาแง่มุมใดมาศึกษา แต่ตัวเขาเองเรียกมันว่า "งานเขียนที่ยังไม่มีคำจำกัดความ" เป็นเรื่องราวของการเขียนแบบถวิลถึง

ผู้อ่านได้รับรู้เบื้องหลังการทำงานหลายชิ้นของเขา เริ่มจากพ่อบ้านหนีเที่ยว ซึ่งเขียนเพื่อหาเงินค่าตั๋วเครื่องบินไปอเมริกาเมื่อปี 2505 จนถึงคำถามและคำตอบเกี่ยวกับงานเขียนที่เขาเคยให้สัมภาษณ์ไว้หลายร้อยประโยค และเรื่องสั้นบางเรื่องซึ่งเขียนขณะใช้ชีวิตเร่ร่อนอยู่ใต้ถุนป่าคอนกรีท แล้ววูบความคิดนั้นก็ถูกปรุงใหม่เป็นนวนิยายในเวลาต่อมา

นอกเหนือจากนั้น ผู้อ่านยังได้รับรู้ถึงอุปนิสัยการทำงานบางด้านของเขาด้วย ว่าความเป็นนักเขียนแบบ 'รงค์ วงษ์สวรรค์นั้น กว่าตัวหนังสือแต่ละประโยคของเขาจะหลุดออกมาจากก้อนสมองเพื่อบำเรอผู้อ่าน มันช่างเต็มไปด้วยความยุ่งยาก

เขาพูดถึงวิธีการทำงาของตัวเองว่า "ข้าพเจ้าทำงานช้าและยุ่งยาก เขียนดินสอก่อนขีดฆ่า ลบทิ้ง หรือฉีกทิ้ง ไขว้เขวในความคิดมันเป็นเหตุการณ์ปกติถ้าตื่นขึ้นกลางดึกเพื่อเปลี่ยนบางประโยค มันโดนแก้อีกหลายหนเพื่อบางคนเย้ยหยันว่า ทำไมมึงไม่เอา (ต้นร่าง) ไปฝากเซฟธนาคารไว้ก่อน แล้วไปเที่ยวปารีสสักสองเดือน ค่อยกลับมาแก้ให้เป็นต้นฉบับสมบูรณ์"

สาเหตุที่มาของงานเขียนชุดนี้เพราะว่า "ผมอยากเขียนถึงตัวเองไว้บ้าง ถึงอย่างไรมันก็ไม่คลาดเคลื่อนจากความจริงโดยการเขียนของผู้อื่น หลังจาก... ใช่ พรุ่งนี้ผมอาจฆ่าตัวตาย!"

ต่อมาในช่วงเดือนมิถุนายนของปี 2525 เขาเริ่มงานเขียนอีกขบวนในสนามเดียวกัน ซึ่งพอจะอนุมานได้ว่าเป็นเรื่องราวในทำนองเดียวกันและเกี่ยวเนื่องกัน คือพูดกับบ้าน

เขาปรารภในการเริ่มต้นว่า "ผม- ผมไม่เคยใช้สรรพนามนี้มาก่อนในงานเขียน และบรรณาธิการไม่ระบุว่าควรเขียนอะไรบ้าง ผมครุ่นคิดในอุณหภูมร้อนคลั่งของเดือนพฤษภาคมหลายวัน หลายคำถาม ผมพบคำตอบว่าทำไมไม่พูดกับบ้าน ผม-บนถนนนานและไกลของชีวิต-เคยพูดกับคนมากมายหลายระดับในสังคม... ผมเคยพูดกับใครมาแล้วเกือบทั้งนั้น โดยหลายสรรพนามแตกต่างกัน แต่ยังไม่เคยพูดกับบ้าน"

ในงานเขียนขบวนนี้เสมือนการย้อนไปสู่ความตั้งใจเดิมที่เคยแสดงความปรารถนาไว้ตั้งแต่ปี 2518 ซึ่งเขาเคยบอกว่า สิ่งที่อยากเขียนถึงเป็นที่สุด คือนวนิยายชีวิตและการำงานบนอาคาร 6 ถนนราชดำเนิน

ซึ่งเขาได้เขียนไว้แล้วในงานขบวนนี้ แม้จะไม่ใช่รูปแบบนวนิยาย แต่ก็เป็นแบบถวิลหาความหลัง จากชีวิตวัยรุ่นสู่การเริ่มต้นบนถนนช่างภาพและนักเขียน บรรยากาศของบ้านที่บางซ่อน ชีวิตของผู้อาวุโสในแวดวงน้ำหมึก ซึ่งเขามีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องรับรู้ และเข้ามามีส่วนในการอุ้มชูในเบื้องต้นแห่งการเป็นนักเขียนของเขา ทั้งบรรณาธิการสายตาสั้นที่สุดในโลก คุณชายเจ้าของหนังสือพิมพ์ที่เขาสังกัด ผู้คนในแวดวงละครเวทียุคอดีต เพื่อนร่วมงานทั้งคนที่เขารักชอบและไม่ชอบ และที่ขาดไม่ได้ก็คือบรรยากาศของร้านเหล้าในกรุงเทพฯ ของ พ.ศ.นั้น รวมทั้งผู้หญิงที่เคยเป็นของเขาและเขาเป็นของหล่อน

หากจะเรียกว่าเป็นงานเขียนเชิงอัตชีวประวัติเขาอาจปฏิเสธ แม้โดยความเป็นจริงนั้นยากที่จะเรียกเป็นอื่น หากแต่ไม่ได้เป็นเพียงชีวประวัติของคนคนหนึ่งเท่านั้น หากเป็นบันทึกปรากฎการณ์ของสังคมไทยโดยเฉพาะกรุงเทพฯ ในยุคหนึ่งไว้ด้วย

เขาจบบทสุดท้ายของ พูดกับบ้านในเดือนสิงหาคม 2526 และวางเป้าหมายสำหรับงานเขียนทำนองนี้ไว้ในอนาคตว่า "ขบวน 3 บ้านบนภูเขา บ้านดง-โป่งแยง-แม่ริม-บนเลี้ยวถนนสู่อำเภอสะเมิง บ้านและอารมณ์โรแมนติกของสู่อำเภอสะเมิง บ้านและอารมณ์โรแมนติกของป่า ลำธารและก้อนหิน นกและดอกเล็บมือนาง น้ำค้างและไฟ ผมคงเหน็ดเหนื่อยอย่างมีความสุขกับบ้านหนังนี้เป็นสุท้าย วันปลายสัปดาห์ ผมเตรียมเดินทางโดยรถยนต์กับเหล็กฉาก ลูกดิ่งและระดับหยดน้ำ เลื่อนลันดา เลื่อยอก มีด ขวาน ค้อน ตะปู เชือก และแบบที่เขียนไว้ แล้วบนอากาศ"

หลังจากฟ้าเมืองไทยปิดตัวเองลง ผู้อ่านก็พบเขาเป็นประจำในมติชนสุดสัปดาห์ ในท่วงทำนองของ'รำพึงรำพัน' ที่เคยโงดังในอดีตในรูปแบบของความคิดที่สุขุมลุ่มลึกตามวัยของความเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งแห่งวงการเดือนกรกฎาคม 2529 เขาเขียนจดหมายเปิดผนึกถึงอาจินต์ ปัญจพรรค์ บอกว่า "รอเวลาไม่นาน ถ้าสามาถเรียบเรียงเหตุการณ์ได้อย่างเป็นโครงสร้างแน่นหนาของความคิด เราคงเขียนพูดกับตูบ นับเนื่องเป็นขบวนถัดมาของพูดกับบ้าน"

จากนั้นอีกไม่นาน ตัวละครแห่งชีวิตของป่าและบ้านบนดอยของเขา ก็เรียงหน้ากันมาแสดงบทบาทบนหน้ากระดาษของมติชนสุดสัปดาห์ จากสัปดาห์ต่อสัปดาห์ ทั้งบุนนางป่าและเสนาเมืองต่างยกขบวนกันมามากมายและมาชุมนุมกันพร้อมหน้าเมื่อรวมพิมพ์เป็นเล่มในชื่อ ขุนนางปี่ บุนนางแห่งชีวิตภายในบ้านและรอบบ้านอันเป็นรังนอนสุดท้ายของชีวิต ตามที่เขาวางเจตนาไว้อย่างนั้น...

สมรม สทิงพระ (ตัดทอนจากงานเขียน 2 ขบวน 'บันทึกจากก้นครัวของโคนต้นไม้ริมคลอง' และ 'จากพูดกับบ้านถึงพูดกับตูบ' รวมเล่ม เส้นทางนักเขียน สนพ.ไรเตอร์, สิงหาคม 2537
--------------
นี่คือ บางช่วงบางตอนของความคิดเขา....


“ผมคิดว่า ผมอยู่กรุงเทพนานแล้ว อยู่มาตั้งแต่อายุประมาณ 7-8 ขวบ อยู่นานๆ คิดว่ามันอาจจะทำให้เราคับแคบนะ (เพราะ)ไดเมนชั่นของกรุงเทพฯ มันอาจจะยาวขึ้น สูงขึ้น ลึกลง หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ผมว่ายิ่งเราอยู่นานๆ นี่ มิติของกรุงเทพฯ มันจะทำให้เราแคบ สถานการณ์แคบ ความคิดแคบ เพราะฉะนั้นเราควรถอยหลังออกมาห่างๆ แล้วมองเข้าไปในองศาที่กว้างกว่า”

“(กรุงเทพฯ)พอเราถอยมามองห่างๆ เราจะเห็น(มัน)ชัดเจน บางครั้งเราอยู่ใกล้เกินไป เรามองไม่เห็น...”

“เพราะมันเต็มไปด้วยฝ้า เต็มไปด้วยหมอก เต็มไปด้วยม่าน เต็มไปด้วยกิเลสตัณหา ภาพลวงตาต่างๆ...”

“พอผมมาอยู่ชนบท ผมมองเห็นเมล็ดข้าวในจานของชาวนา ผมมองเห็นอ้อยที่มันผอมๆ ในมือของชาวสวน ผมมองเห็นวัวที่มันกำลังจะล้มตายกลางอากาศที่แห้งแล้ง .... มันชัดกว่าเจนกว่าที่ผมเคยมองผ่านม่านออกมาจากกรุงเทพฯ”

“แต่ผมก็จะต้องเหลียวกลับไปมองกรุงเทพฯ เสมอ และขณะเดียวกันที่ภาพของกรุงเทพฯ ก็จะชัดเจนยิ่งขึ้น”

ถึงประโยคนี้เองที่ผู้เขียนเข้าใจความคิดของ‘รงค์ วงษ์สวรรค์ได้ดียิ่งขึ้น เราได้เห็นวรรณกรรมหลายๆ เรื่องที่สะท้อนชีวิตที่มีสีสันของคนใน “ป่าคอนกรีต”ได้ดี ราวกับภาพที่ฉาบอยู่บนเงาสะท้อนของบึงน้ำในป่าใหญ่นั่นเอง...

“ไอ้การเป็นนักเขียนนี่มันไม่ง่าย... จริงอยู่ผมต้องผูกพันตัวเองกับหนังสือพิมพ์ฉบับนี้บ้างฉบับนั้นบ้าง บางฉบับก็อาจจะรับเงินเดือน ..... แต่ผมก็ต้องสร้างความผูกพันให้เป็นงานที่ยั่งยืนถาวร หมายความว่า เราต้องรักษาคุณภาพในงานเขียนให้ออกมาดีที่สุดเท่าที่บรรณาธิการและผู้อ่านจะต้องพอใจที่จะอ่าน...”

“ประมาณเดือนพฤศจิกา-ธันวา ผมจะมาทบทวนว่า ปีที่ผ่านมานี่ผมทำอะไรไปบ้าง แล้วปีต่อไปผมจะทำอะไรบ้าง...”

“แล้วก็คำนาณรายได้ว่าจะทำให้มีชีวิตอยู่ได้ไหม เพราะฉะนั้น(จึง)ไม่ใช่งานที่สบายนะ เป็นงานหนัก ผมมักจะคิดอย่างนี้ทุกปี ..ถึงมีชีวิตอยู่ได้”

“มันมีนะ(ปัญหา) มีหลายๆ ครั้งในชีวิตนักเขียนที่เราจะพบว่า ไม่มีเงินแม้แต่บาทเดียวอยู่ในบ้าน ไม่มีอะไรสักอย่างในบ้าน ... ไม่มีอะไรเหลืออยู่ในตัว บางทีก็ขายหมด ขายกิน จำนำกิน จะไม่ขายก็แต่พิมพ์ดีดเท่านั้น ผมขายไม่ได้แล้วก็ไม่ขายมือ ไม่ตัดนิ้วขาย...”

“อาจจะมีความรู้สึกอย่างนี้(ท้อแท้) สักห้านาทีมั้ง แล้วเดี๋ยวพอนั่งโต๊ะทำงานทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ”

“ผู้หญิงที่คุณคิดว่าสวยๆ นี่ พอเปิดออกมาแล้วอาจจะผิดคาดก็ได้นะ รายได้ของนักเขียนมันค่อนข้างจะไม่แน่นอน ผมไม่ใช่นักเขียนประเภทมันนี่เมคเกอร์ ไม่ใช่นักเขียนที่ทำเงินอันมากมายมหาศาล”

“โดยฐานะส่วนตัวนี่ไม่มีอะไรเลย ไม่ได้มีทรัพย์สินมรดกอะไรทั้งนั้น แล้วเรื่องของผมก็ไม่ถูกซื้อไปทำเป็นบทโทรทัศน์ หรือทำเป็นภาพยนตร์”

ความข้างต้นทำให้เราได้เห็นถึงความอัตคัตในชีวิตของ‘รงค์ วงษ์สวรรค์ซึ่งได้สะท้อนคราบไคลของชีวิตคนที่ทำมาหากิน กลิ่นสาบเหงื่อที่ชะโลมร่างกายกับควันบุหรี่ที่ติดตัวมากับตัวละครแต่ละตัว ไม่ว่าจะเป็นอาชีพใดๆ ก็ล้วนเป็นชีวิตที่‘รงค์ วงษ์สวรรค์ล้วนได้คลุกคลีด้วยมาเป็นอย่างดี

“ผมอยู่ที่นี่ (ถนนเชียงราย-แม่สาย จ.เชียงราย) อย่างน้อยก็ไม่ต้องเสียค่าซักเสื้อนอก เดือนหนึ่งก็หลายร้อยบาท ไม่ต้องเสียค่าน้ำมันรถที่จะต้องไปปรากฏตัวในงานสังคมต่างๆ อีกมากมาย ผมอยู่ที่นี่ผมนุ่งกางเกงยีนตัว นุ่งเตี่ยวสะดอตัวหนึ่ง ผมก็ไปไหนมาไหนได้ ... ชีวิตผมไม่ได้สบายอย่างที่ทุกคนคิดเลย แต่ผมเป็นคนที่ไม่ตัดพ้อ.....”

“ผมเป็นคนทำงานที่มีระบบอยู่บ้าง อย่างข่าวแปลกๆ บนหน้าหนังสือพิมพ์ผมก็จะตัดเอาไว้ หรือเหตุการณ์แปลกๆ ผมก็จะบันทึกเอาไว้ หรือความโหดร้ายของสงคราม เสียงสบถของนักบิน บี. 52 ที่ทิ้งระเบิดพลาดเป้าหมายในสงครามเวียดนามที่คนหนังสือพิมพ์เขารายงาน เก็บไว้เพื่อใช้ประโยชน์ในการเขียน.... หรืออย่างข่าวการฆ่าโหดโสเภณีอย่างโหดร้ายที่สุด... ผมก็จะเก็บเอาไว้”

“เศรษฐีไปฉลองวันเกิดกันที่ไหน ใช้ขนมเค้กหนักกี่หมื่นปอนด์ หรือเศรษฐีเช็ดน้ำตาให้เมียด้วยเพชรกี่หมื่นกะรัต ผมก็จะเก็บเอาไว้ เพราะเรื่องเหล่านี้คุณเนรมิตขึ้นมาด้วยความคิดคุณเองไม่ได้....”

“ผมยังรู้ว่าในกรุงเทพฯ มีอะไรเกิดขึ้นในปิ่นโตของคนกวาดถนน ถึงโถส้วมขลิบทองของแม่ยาย...”

“ผมมีเค้าโครงเรื่องที่จะเขียนแยะ ... คิดว่าใช้จนตายก็ยังไม่หมด”

“ผมไม่อ่านหนังสือหลายเล่มของนักเขียนระดับโลกหลายคน สิ่งที่ผมกลัวที่สุดคือ ผมกลัวจะไปลอกแบบคนอื่น”

“ผมชอบอ่านหนังสืออัตชีวประวัติของบุคคลหรือหนังสือศาสนาเปรียบเทียบอะไรพวกนี้...”

“หนังสือที่ผมอ่านกับที่ผมเขียน คนละอย่างกัน”

กับงานเขียนตัวอย่างที่ถูกยกขึ้นมาถามถึงเรื่องราวใน “สนิมสร้อย”ที่ฉาวได้ดีที่สุดนั้น....

“เราจะต้องเขียนเขียนเฉพาะสิ่งที่เรารู้จักจริงๆ ไม่ใช่ไปนึกฝันอา ทุกอย่างมันควรจะอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงทั้งหมด เพราะฉะนั้นไม่ว่าผมจะเขียนอะไรผมจะต้องรู้จริงถึงรากเหง้า”

“ผมกล้าพูดได้เลยว่า งานทุกชิ้นไม่ว่าสถานการณ์อย่างไร ผมจะต้องบอกตัวเองว่าดีแล้ว ผมถึงจะส่งไปถึงมือบรรณาธิการ”

“ผมเป็นคนที่มีความรู้พื้นฐานทางภาษาไทยน้อย... เมื่อผมผ่านมาถึงจุดนั้น ผมก็พยายามเขียนจากความรู้สึก...เรารู้สึกอย่างไรก็เขียนอย่างนั้น มันก็ทำให้เกิดหาถ้อยคำออกมาว่า จะทำอย่างไรที่ผู้อ่านจะรับได้เร็วที่สุด ...”

“ผมคิดว่า ถ้าผมจะเขียนหนังสือก็ไม่ควรไปเขียนให้เหมือนคนโน้นคนนี้ ในวรรณคดีเล่มโน้นเล่มนี้ ซึ่งเป็นตำราที่สอนกันมาว่าเป็นหนังสือที่ดีที่สุด และโดนบังคับให้อ่าน”

“ภาษาไทยเป็นภาษาที่มีชีวิต เมื่อเป็นภาษาที่มีชีวิตก็ต้องเป็นหน้าที่ของผู้ใช้ภาษาที่จะต้องทำให้มีชีวิต”

“ภาษาต้องมีความเคลื่อนไหวและสีสัน”

เมื่อต้องพูดถึงเพศหญิงและให้ชมว่าผู้หญิงคนนั้นสวย‘รงค์ วงษ์สวรรค์ก็ใช้ภาษาอย่างคนที่รุ่มรวยภาษาและอารมณ์ว่า “เหตุผลที่ชายดื้อรั้นที่สุดคนนี้ยอมจำนนแก่หล่อนก็เพราะรอยลักยิ้มบนแก้มตะโพก”...

“มันสามารถจูงความคิดความรู้สึกของคุณไปได้อีกตั้งมาก”

ใครที่ชื่นชอบงานเขียนของ‘รงค์ วงษ์สวรรค์ สมัยนี้ยังหาอ่านได้ไม่ยาก โลกวรรณกรรมเราได้สูญสิ้นนักเขียนมือทองไปอีกคน ที่ยังมีอยู่ก็ต้องดิ้นรนหา “วรรคทอง”ให้แก่ชีวิตตนเองกันต่อไป

โลกหนังสือและวรรณกรรมกว้างขึ้นแต่ก็แคบลงด้วยจิตใจมนุษย์ที่บีบตัวเองให้แคบลง เพราะ.........?

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น